เนื่องจาก "ตับ" มีหน้าที่สำคัญหลายประการ แถมยังมีหน้าที่ซับซ้อนมาก ทำให้ในปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมือทางการแพทย์ชนิดใดสามารถแทนที่การทำงานของตับได้เลย ต่างจากอวัยวะอื่นๆ เช่น ไต ที่ยังมีเครื่องฟอกไต หัวใจที่ยังมีหัวใจเทียมทดแทน เป็นต้น

ความสำคัญของตับ

1. ตับเป็นแหล่งสร้างสารต่างๆที่ร่างกายต้องการ
     เมื่อเรารับประทานอาหาร ร่างกายจะไม่สามารถนำอาหารเหล่านั้นไปใช้ได้ทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการย่อยที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กก่อน เพื่อให้อาหารนั้นมีโมเลกุลเล็กที่สุด สารอาหารกว่า 95% จะถูกดูดซึมทางลำไส้เล็กเข้าสู่หลอดเลือดดำพอร์ทัล (Hepatic Portal Vein) แล้วจึงส่งเข้าสู่ตับ

 

     "ตับ" จะทำหน้าที่จัดการเปลี่ยนสารอาหาร เช่น กลูโคส กรดไขมัน กรดอะมิโน ฯลฯ ให้เป็นสารต่างๆที่ร่างกายต้องการ เช่น นำกรดแอมิโน (amino) มาสร้างเป็นแอลบูมิน (Albumin) หรือสารที่ช่วยโอบอุ้มน้ำและเกลือแร่เอาไว้ในหลอดเลือด ความสำคัญของแอลบูมิน คือ หากปริมาณต่ำจะทำให้น้ำและเกลือแร่รั่วออกนอกหลอดเลือดเกิดอาการบวมเป็น ท้องมานได้ นอกจากนำกรดอะมิโนมาสร้างเป็นอัลบูมินแล้ว 

     "ตับ" ยังทำนำกรดอะมิโนมาสร้างเป็นสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ ฉะนั้นผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับจึงมีสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวน้อยทำให้เกิดจ้ำเขียวตามร่างกายได้ง่าย เป็นต้น ทั้งนี้โปรตีนเกือบทุกชนิดที่เรารับประทานเข้าไป จะถูกนำมาแปลงเป็นสารชนิดต่างๆ ที่ตับ แม้แต่น้ำตาลตับก็สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันได้

ฉะนั้นหาก "ตับ" เกิดทำงานผิดปกติขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างมาก เพราะสารที่ร่างกายต้องการส่วนใหญ่ผลิตขึ้นที่ตับนั่นเอง

 

2. ตับเป็นแหล่งสะสมสารอาหาร
     เนื่องจาก "ตับ" มีขนาดใหญ่จึงมีอีกหนึ่งหน้าที่คือ เก็บสะสมพลังงานสารอาหารรวมทั้งวิตามินดี และ บี12 ไว้ใช้ยามขาดแคลน โดยมากตับจะเก็บสารอาหารที่เป็นพลังงานไว้ในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทหนึ่ง ในยามที่ร่างกายขาดสารอาหาร ตับก็จะเปลี่ยนไกลโคเจนให้เป็นกลูโคส เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกายในยามขาดแคลน

3. ตับเป็นแหลางสร้างน้ำดี
     น้ำดี คือ สารสำคัญชนิดหนึ่งที่ช่วยในการย่อยไขมัน ทำหน้าที่ตีไขมันจากก้อนใหญ่ๆให้มีขนาดเล็กลงเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวของไขมัน ทำให้มีโอกาสสัมผัสกับเอนไซม์ สำหรับย่อยไขมัน (ที่มาจากตับอ่อน) ได้มากขึ้น

     สีของน้ำดีนี่เองที่ทำให้อุจจาระของเรามีสีเหลือง หากมีการอุดกั้นทางเดินน้ำดี เช่น นิ่ว เนื้องอก น้ำดีจะล้นเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เกิดภาวะ "ดีซ่าน" ได้

4. ตับทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย
     เนื่องจากสารบางอย่างที่เราทานเข้าไปหากอยู่ในร่างกายนานอาจทำให้เกิดโทษได้ "ตับ" จึง เข้ามาช่วยทำหน้าที่ขับสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกไป

5. ตับเป็นทหารของร่างกาย
     "ตับ" มีเซลล์สำคัญชนิดหนึ่ง ที่ช่วยดักจับเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม แบคทีเรีย และเชื้อรา เป็นต้น ฉะนั้นผู้ป่วยโรคตับ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายขึ้น

6. ตับเป็นโรงงาน "รีไซเคิล" โปรตีนที่ร่างกายใช้งานแล้ว
     เมื่อ "ตับ" นำอาหารมาสร้างสารสำคัญให้ร่างกายนำไปใช้งานสารแต่ละชนิดจะมีวันหมดอายุ "ตับ" จะนำมาสู่กระบวนการ "รีไซเคิล" โปรตีนทุกชนิด จะต้องผ่านกระบวนการรีไซเคิลของตับทั้งสิ้น

 

8 สาเหตุที่ทำให้ "ตับเสื่อม"

  1. นอนดึก ตื่นสายเป็นกิจวัตร
  2. การไม่ปัสสาวะในตอนเช้า
  3. ไม่รับประทานอาหารเช้า
  4. รับประทานเกินความพอดีเป็นประจำ
  5. บริโภคยาเกินความจำเป็น
  6. ไม่ควรบริโภคอาหารที่ปรุงแต่งใส่วัตถุกันเสีย สีผสมอาหาร และน้ำตาลเทียม
  7. น้ำมันที่ใช้ทำอาหารด้วยคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์ ควรลดปริมาณการใช้น้ำมันลง หรือ หันมาใช้น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา ฯลฯ
  8. ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

 

เช็คด่วน!!! คุณมีอาการเหล่านี้ไหม?
  1. เจ็บใต้ชายโครงขวา หรือ เจ็บท้องด้านขวาบน ปวดชายโครง
  2. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ
  3. เบื่ออาหาร ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดท้องบ่อย น้ำหนักลด ไม่อยากอาหาร
  4. ตัวเหลือง ตาเหลือง ดีซ่าน
  5. ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม หรือ ฉี่เป็นสีเหลืองเข้ม อุจจาระซีด ถ่ายเหลว
  6. มีน้ำในท้อง หรือ ท้องมาน มักมีอาการเท้าบวม ท้องบวม ท้องมาน ขาบวม
  7. มีอาการจุกเสียดตรงลิ้นปี่ แน่นท้องไม่หาย
  8. ค่าตับสูง เกินค่าปกติ  SGOT SGPT ไขมันเกาะตับ (ไขมันพอกตับ) ไขมันสะสมที่ตับ ค่าเอ็นไซม์ตับสูง ค่าไตรกลีเซอร์ไลด์สูง คอเลสเตอรอลสูง (ไขมันสูง) ตับอ่อนอักเสบ ฝีที่ตับ มีจุดดำที่ตับ มีก้อนแข็งที่ตับ

 

Green L กรีนแอล ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงตับ

     ตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่สำคัญมากกว่า 500 อย่าง  ทำหน้าที่ในการสกัดสารพิษ หรือสิ่งแปลกปลอมออกจากกระแสโลหิต สร้างน้ำดีและน้ำย่อย และเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสารอาหาร ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นอวัยวะที่ทำงานตลอดเวลา ไม่เคยพักเลย (เช่นเดียวกับสมอง หัวใจ และปอด) ทำหน้าที่กำจัดสารพิษต่างๆ ในอาหารทุกคำ ยาทุกเม็ด ที่เรากินล้วนมีสิ่งที่ตับต้องกำจัดทั้งสิ้น 

เหมาะสำหรับ
  • ผู้ที่เป็นโรคตับ ตับอักเสบ ไขมันพอกตับ มะเร็งตับ
  • ผู้ที่ต้องการ detox ดีท็อกซ์ตับ เนื่องจากทานสุรา ชอบปาร์ตี้
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงตับ ทุก 3 เดือน ต่อปี เพื่อสุขภาพ

สรรพคุณ 
  • ช่วยขับล้างสารพิษ และลดการสะสมสารพิษในร่างกาย
  • ลดภาระสะสมไขมันในเนื้อตับ
  • ปกป้องตับและลดการสะสมสารพิษในตับ
  • เสริมสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย
  • มีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ดึงแอลกอฮอล์ออกจากกระแสเลือด
  • บำรุงเซลล์ตับให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ปรับตับและถุงน้ำดีให้กำจัดไขมันได้ดีขึ้น
  • กำจัดไขมันที่สะสมในระบบทางเดินอาหารและกระแสเลือด
  • ผิวสดใสขึ้น ลดการเกิดสิว
  • สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
ส่วนประกอบใน กรีนแอล Green L ใน 1 เม็ด
  1. สารสกัดจากโรสฮิป (Rosehip Extract) 240 มก.
  2. อาร์ติโชค (Artichoke Powder) 200 มก.
  3. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) 180 มก.
  4. สารสกัดจากอัลฟาฟ่า (Alfalfa Extract) 125 มก.
  5. แอล-ซีสเตอีน (L-Cysteine HCL anhydrois) 95 มก.
ขนาดบรรจุ : 30 เม็ด
เลขสารบบ อย. : 10-1-15456-1-0018

วิธีรับประทาน : 

สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุง ดีท็อกซ์ Detox ตับ 
รับประทานวันละ 2 เม็ด (เช้า 1 ก่อนนอน 1) 
* ควรทานต่อเนื่อง 3 เดือน เนื่องจากเซลล์ในร่างกายเกิดใหม่ทุก 3 เดือน และ สารอาหารจะไปฟื้นฟูเซลล์เก่าด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผู้ป่วยตับ ไขมันพอกตับ ตับแข็ง มะเร็งตับ
  • Green L รับประทานวันละ 2 เม็ด (เช้า 1 ก่อนนอน 1)
  • D MUND รับประทานวันละ 2 เม็ด (เช้า 1 ก่อนนอน 1)
  • Korejins-D รับประทานวันละ 2 เม็ด (เช้า 1 ก่อนนอน 1)
*ควรทานคู่กับ D MUND และ Korejins-D เนื่องจากต้องดูแลระบบอื่นๆ ในร่างกาย ร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีขึ้น

** ควรทานต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน ขึ้นไป เนื่องจากเซลล์ในร่างกายเกิดใหม่ทุก 3 เดือน และ สารอาหารจะไปฟื้นฟูเซลล์เก่าด้วย

คำเตือน : เด็กและสตรีมีครรถ์ไม่ควรรับประทาน

 

เมื่อตับเริ่มผิดปกติ "ตับป่วย" จึงให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องด้ังนี้
1. ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี
2. ไขมันพอกตับ
3. ตับแข็ง
4. มะเร็งตับ
5. มะเร็งท่อน้ำดีในตับ, มะเร็งท่อน้ำดี, นิ่วในถุงน้ำดี
6. ดีซ่าน
7. ท้องมาน

 

1. ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี อี
โรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสตับอักเสบ ชนิด A B C D และ E โดยจะมีลักษณะการติดต่อที่แตกต่างกันไปตามชนิด

ไวรัสตับอักเสบเอ A #พบได้บ่อย
การติดต่อ: ติดต่อทางอาหาร หรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
อาการ: ไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน ดีซ่าน

ไวรัสตับอักเสบบี B  #พบได้บ่อย
การติดต่อ: ติดต่อทางเลือด เพศสัมพันธ์ จากมารดาสู่บุตร
อาการ: ตับอักเสบรุนแรง อาจพัฒนาไปเป็นโรคตับ มะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบซี C  #พบได้บ่อย
การติดต่อ: ติดเชื้อทางเลือด เพศสัมพันธ์
อาการ: ตับอักเสบเรื้อรัง จนกลายเป็นตับแข็ง มะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบดี D  #พบได้บ่อย
การติดต่อ: ติดเชื้อทางเลือด กลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่เป็นไวรัสตับอักเสบ B
อาการ: ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยตับเรื้อรังรุนแรงเสี่ยงเสียชีวิตได้

ไวรัสตับอักเสบอี E  #พบได้บ่อย
การติดต่อ: เกิดจากทานอาหารที่ปรุงไม่สุก เช่น เนื้อหมู สัตว์ปีก
อาการ: ตาเหลือง ตัวเหลือ อ่อนเพลีย

 

2.ไขมันพอกตับ ภัยเงียบที่คุณอาจไม่ทันรู้ตัว (Fatty Liver Disease)

     โรคไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) หรือ ไขมันเกาะตับ เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับมากเกินปกติ คือประมาณ 5 - 10% ของตับ โดยน้ำหนักไขมันที่เข้าไปแทรกตับนั้นมักเป็นชนิดไตรกลีเซอไรด์ ภาวะนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่ทำให้ผลการตรวจการทำงานของตับผิดปกติและไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด แต่อาจเป็นภัยเงียบ ที่คุณอาจไม่รู้ตัวและบ่งชี้ถึงโรคอื่นๆ ได้

สาเหตุการเกิดโรคไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มได้แก่

1. จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับเพศ ประเภท ปริมาณ และ ระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์ เรียกว่า alcoholic fatty liver Disease 

 

2. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
3. ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
4. ผู้ที่มีไขมันดี หรือ HDL ต้ำ (ผู้ชายน้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ผู้หญิง น้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
5.ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป

รู้ได้อย่างไรว่าเริ่มมีไขมันพอกตับ?
     โดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแสดงอาการ มักจะตรวจพบจากการตรวจเลือดประจำปี หรือ อัลตราซาวนด์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอการที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา ตรวจพบโรคไขมันพอกตับ 

     แบ่งระยะการดำเนินโรคได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
  • ระยะแรก เป็นระยะที่มีไขมนสะสมอยู่ในเนื้อตับ แต่ยังไม่มีการอักเสบหรือพังผืดเกิดขึ้นในตับ
  • ระยะที่สอง เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ หากไม่ควบคุมดูแล และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือน อาจกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
  • ระยะที่สาม การอักเสบรุงแรงต่อเนื่อง เกิดพังผืด (brosis) สะสมในตับ เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลงแทนที่ด้วยพังผืด
  • ระยะที่สี่ เซลล์ตัยถูกทำลายไปมาก ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ทำให้เกิดตับแข็ง มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ

การวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับ
     การวินิจฉัยสามารถทำได้โดย การตรวจเลือด การตรวจอัลตร้าซาวด์ การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การเจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจเพื่อดูปริมาณไขมัน และ การอักเสบ รวมถึงระดับพังผืดในตับ การตรวจด้วยเครื่อง Fibroscan ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยประเมินปริมาณไขมันในตับ รวมถึงระดับผังผืดและตับแข็งได้ โดยที่ผู้ป่วยไม่เจ็บตัว

 

3. ตับแข็งคืออะไร? เกิดได้อย่างไร?

     "ตับแข็ง" เป็นผลมาจาก เนื้อเยื่อตับถูกทำลายจากหลายสาเหตุต่อเนื่อง เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง เกิดพังผืดในเนื้อตับ ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะกลายเป็นตับแข็งในที่สุด

     เมื่อเกิดตับแข็ง ตับไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ดีซ่าน ท้องมาน สับสน เลือดออกง่าย เส้นเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร ตับวาย มะเร็งตับและเสียชีวิต

 

โรคตับแข็งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
  1. ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง เช่นไวรัสตับอักเสบบีและซี 
  2. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากและเป็นเวลานาน
  3. โรคทางพันธุกรรม เช่น Wilson disease (ความผิดปกติของตับที่ไม่สามารถขับทองแดงออกจากร่างกายได้ทำให้มีการสะสมทองแดงมากเกินไป), Hemochromatosis (ภาวะธาตุเหล็กในร่างกายเกินซึ่งอาจจะเป็นจากโรคทางพันธุกรรมทำให้ไม่สามารถขับธาตุเหล็กออกจากร่างกายได้หรือเป็นจากการได้รับธาตุเหล็กเกินโดยเฉพาะในคนไทยที่มีโรคเลือดจางธาลัสซีเมียรุนแรงจนต้องได้รับผลิตภัณฑ์เลือดอยู่บ่อย ๆ), cystic fibrosis, alpha one antitrypsin deficiency, glycogen storage disease
  4. ภาวะไขมันคั่งตับ มักพบในคนอ้วน หรือคนไข้เบาหวาน
  5. โรคแพ้ภูมิตนเองที่เกิดกับตับ เช่น autoimmune hepatitis, primary biliary cholangitis, primary sclerosing cholangitis
  6. โรคท่อทางเดินน้ำดีฝ่อตั้งแต่แรกเกิด (Biliary atresia)
  7. การได้รับยาบางชนิดหรือสมุนไพรบางอย่างที่มีผลต่อตับ
  8. การมีภาวะหัวใจด้านขวาล้มเหลวเรื้อรัง
  9. มีการอุดกั้นของหลอดเลือดดำทางออกของตับ
  10. ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบในถึง 1 ใน 4 

อาการของโรคตับแข็งเป็นอย่างไรบ้าง ?
     โดยส่วนมากในช่วงแรกของการเกิดโรคแทบไม่พบอาการหรือมีแสดงอาการน้อยมากโดยอาการแสดงก็ไม่จำเพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาการ นอนไม่หลับ คันตามตัว ต่อเมื่อการทำงานของตับแย่ลงก็จะมาด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น ตัวตาเหลืองหรือดีซ่าน ท้องมาน เท้าหรือตัวบวม อาเจียนเป็นเลือด หรือน้ำหนักลดจาการมีมะเร็งตับ พฤติกรรมแบบไหนที่สุ่มเสี่ยงหรือมีแนวโน้มเป็นโรคตับแข็งได้บ้าง ?

     ในอดีตโรคตับแข็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ยกเว้นการปลูกถ่ายตับกรณีที่โรคเป็นมากแล้ว แต่ปัจจุบันพบว่าการเอาสาเหตุที่กระตุ้นให้ตับเสียหายออกไปได้ก็สามารถทำให้การทำงานของตับดีขึ้นได้

 

4. โรคมะเร็งตับ


     "มะเร็งตับ" เกิดจากเซลล์ของตับที่เป็นมะเร็ง เกิดการแบ่งตัวแล้วแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ โรคนี้จะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะแสดงอาการในระยะกลาง – ระยะสุดท้าย ทำให้อันตรายมาก เป็นโรคมะเร็งที่พบเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไทย โดยพบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และ อันดับ 3 ในเพศหญิง ผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจ มักมีอาการผิดปกติ หรือ มีระยะของโรคลุกลามไปมากแล้ว เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับ มักจะเสียชีวิตภายใน 3-6 เดือน


ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ

  • ผู้ที่ดื่มสุรามาก ๆ
  • ผู้ใช้ยาบางชนิด ที่เสี่ยงต่อโรคตับ
  • ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี
  • ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง
  • ผู้ที่มีภาวะไขมันเกาะตับ
  • ผู้ที่ไม่ได้พักผ่อน กลั้นอุจจาระอยู่เสมอ

อาการ

  • ความอยากอาหารลดลงอย่างเห็นได้ชัด : ท้องรู้สึกแน่น อืด การย่อยอาหารไม่ดี บางครั้งปรากฏอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ้าหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตับ สามารถทำการตรวจตับด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด
  • ปวดท้องด้านขวาบน : บริเวณตับมีอาการปวดอย่างต่อเนื่องหรือเป็นบางครั้งบางคราว บางครั้งถ้าเนื้องอกมีการลุกลามอาการเจ็บก็จะรุนแรงขึ้น
  • เลือดออก มักจะมีอาการเลือดไหลทางจมูก เลือดออกตามผิวหนัง เป็นต้น
  • อ่อนเพลีย ผอม ไข้และบวมน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ตัวเหลือง ท้องบวม คันตามผิวหนัง

     อาการมะเร็งตับ โดยทั่วไปเมื่อโรคพัฒนาจนถึงระยะกลางและระยะสุดท้าย จึงจะสามารถเห็นชัดและในเวลานั้นมักจะสูญเสียโอกาสในการผ่าตัด ด้วยเหตุนี้การตรวจด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

 

     เมื่อปรากฏอาการดังกล่าว ก็อาจจะไม่ใช่โรคมะเร็งตับเสมอไป แต่ก็ควรไปตรวจโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคตับ เพื่อให้แน่ใจอาการของโรค และรีบทำการรักษาอาการดังกล่าว มะเร็งตับระยะแรกหากได้รับการรักษาอย่างประสิทธิภาพก็สามารถยืดการมีชีวิตอยู่ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นได้

 

5. มะเร็งท่อน้ำดีในตับ, มะเร็งท่อน้ำดี, นิ่วในถุงน้ำดี
     มะเร็งในท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma) คือมะเร็งที่เกิดขึ้นในเซลล์เยื่อบุผนังของท่อน้ำดี ซึ่งแทรกตัวอยู่ทั่วเนื้อตับ อาจเกิดในท่อน้ำดี ในตับหรือนอกตับก็ได้ ซึ่งหากเกิดในตับ ผู้ป่วยก็นับเป็นมะเร็งตับอีกชนิดหนึ่ง

 

สาเหตุ
     เกิดจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ จำพวกอาหารสุกๆ ดิบๆ ปลาร้า ปลาเจ่า ปลาเค็ม ที่ไม่สูก โดยอาหารเหล่านี้อาจมีตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับฝังตัวอยู่ เมื่อเรารับประทานเข้าไปตัวอ่อนพยาธิก็จะไปเจริญเติบโตในร่างกายและไปอาศัยอยู่ในท่อน้ำดี เมื่อพยาธิเคลื่อนที่ก็จะเสียดสีกับท่อน้ำดีไปเรื่อยๆ ท่อน้ำดีก็พยายามสร้างผนังให้หนาขึ้น เพื่อป้องกันการเสียดสี

กระบวนการเสียดสีนี้เองทำให้เกิดการอักเสบจน้ป็นต้นเหตุให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดี
     อีกหนึ่งสาเหตุ ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดมะเร็งได้ คืออาหารหมักดอง เช่น ปลาส้ม ปลาร้า แหนม หมูยอ เป็นต้น ซึ่งมีสารไนโตรซามีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งอยู่ด้วย จึงกลายเป็นตัวกระตุ้นทวีคูณที่ทำให้ผู้นิยมรับประทานอาหารหมักดองที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งในท่อน้ำดีมากขึ้น

 

     โรคมะเร็งท่อน้ำดี คือ ก้อนเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณท่อน้ำดีนอกตับ รวมทั้งบริเวณขั้วตับจนถึงส่วนปลายล่างของท่อน้ำดีใหญ่

     โดยมะเร็งท่อน้ำดีสามารถแบ่งตามตำแหน่งของเนื้องอกได้ เป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ และ มะเร็งท่อน้ำดีนอกตับ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี
     อาการท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง : อาการอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานานเป็นพื้นฐานการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดีเพราะโรคที่มีการตรวจพบและมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งท่อน้ำดีจะทำให้เกิดอาการท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง

 

     นิ่วในท่อน้ำดีหรือถุงน้ำดี : 20% - 57% ของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี จะเป็นนิ่วในท่อน้ำดีหรือในถุงน้ำดี ดังนั้นจึงเห็นว่าการอักเสบเรื้อรังของถุงน้ำดี และท่อน้ำดีเป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคมะเร็ง

     นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstone หรือ Cholelithiasis) คือ ชิ้นส่วนแข็งที่เกิดขึ้นในถุงน้ำดี ชิ้นส่วนเหล่านี้เกิดขึ้นจกากส่วนประกอบของน้ำดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอเลสเตอรอล และ บิลิรูบิน (Bilirubin) หรือสารเคมีชนิดหนึ่งที่ให้สีเหลือกออกน้ำตาล ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือดตกตะกอนเป็นผลึก

     แต่ในกรณีนี้อยู่ภายในถุงน้ำดี โดยก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นนี้อาจมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทราย หรือใหญ่เท่าลูกกอล์ฟ และอาจพบได้ตั้งแต่หนึ่งก้อนจนถึงหลายร้อยก้อนก็เป็นได้

     นิ่วในถุงน้ำดีเป็นโรคที่พบได้บ่อย มักพบในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย

 

     ท่อน้ำดีผิดรูปร่าง (อาการท่อน้ำดีขยายมาตั้งแต่เกิด) : การมีซีสต์ในท่อน้ำดีมาตั้งแต่เกิดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งได้ง่าย เมื่อการไหลเวียนของท่อตับอ่อนและท่อน้ำดีผิดปกติ ของเหลวจากตับอ่อนจะไหลย้อนเข้าไปในท่อน้ำดี ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณเยื่อบุผิวท่อน้ำดี เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็ง

     โรคพยาธิใบไม้ตับ (Chinese liver fluke) : เนื่องจากการกินปลาดิบจะทำให้เกิดโรคพยาธิใบไม้ตับและเกิดการติดเชื้อที่ทางเดินน้ำดี ภาวะคั่งของน้ำดี เกิดพังผืดรอบท่อน้ำดีและท่อน้ำดีงอกขยายขึ้น เป็นต้น จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุการเกิดโรคมะเร็งท่อน้ำดี

 

6. ดีซ่าน (Jaundice) 
     เป็นอาการป่วยที่เยื่อบุตาขาว เนื้อเยื่อและผิวหนังของผู้ป่วยกลายเป็นสีเหลือง เรียกอีกชื่อหนึ่งคือ “ภาวะตัวเหลืองตาเหลือง” เกิดจากการมีปริมาณสารบิลิรูบิน (Bilirubin) ในกระแสเลือดมากเกินไป มาจากหลายสาเหตุหรือจากการเจ็บป่วยอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของตับ ระบบน้ำดี และเซลล์เม็ดเลือดแดง

 

อาการของดีซ่าน
     ลักษณะอาการแสดงหลักของภาวะดีซ่านที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน คือ ดวงตาและผิวหนังมีสีเหลือง อุจจาระอาจมีสีซีดลง และปัสสาวะมีสีเข้ม นอกจากภาวะตัวเหลืองตาเหลืองที่ปรากฏเด่นชัด อาจพบอาการป่วยที่เกิดขึ้นร่วมกัน โดยอาจมีอาการร่วมเพียงอย่างเดียวหรือหลายอย่าง เช่น
  • อ่อนเพลีย หมดแรง เหนื่อยง่าย
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
  • ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • ท้องบวม ขาบวม น้ำหนักลด
  • มีไข้ หนาวสั่น คันตามตัว

 

7. ท้องมาน
     เป็นภาวะที่มีของเหลวสะสมอยู่ในช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มช่องท้องและอวัยวะภายในช่องท้อง ส่งผลให้ท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น 

สาเหตุของท้องมาน
     ท้องมานเกิดจากความดันในหลอดเลือดภายในตับเพิ่มขึ้นสูงและการทำงานที่ผิดปกติของตับจนขัดขวางการไหลเวียนเลือดภายในตับ ส่งผลให้ไตทำงานผิดปกติในการกำจัดเกลือและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย หรืออาจเกิดสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน โรคหรือภาวะที่ทำให้เกิดท้องมานได้ มีดังนี้
  • โรคที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อตับ เช่น โรคตับแข็ง โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี การมีลิ่มเลือดในหลอดเลือดของตับ เป็นต้น
  • การเสพติดการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือตับอ่อนอักเสบ
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะไตวาย
  • ตับอ่อนอักเสบ
  • มะเร็งบางชนิดที่เกิดขึ้นบริเวณท้อง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก เป็นต้น
  • วัณโรค
  • ภาวะไฮโปไทรอยด์

 

อาการของท้องมาน
     แม้อาการของภาวะท้องมานมักไม่รุนแรง แต่ภาวะนี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะร้ายแรงอย่างการทำงานของตับล้มเหลวได้ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ
  • ไม่อยากอาหาร
  • ปวดท้อง
  • ท้องอืด อาหารไม่ย่อย แสบร้อนกลางอก
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องบวมขึ้น
  • หายใจลำบากเมื่อนอนลง
  • มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้สูง หรือมีอาการคล้ายหวัด

 

     เนื่องจากทุกระบบของร่างกายมีความเกี่ยวเนื่องกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบเลือด ไต หัวใจ ปอด การไหลเวียนโลหิต ฯลฯ ทุกระบบของร่างกาย มีผลกระทบทั้งสิ้น เมื่อดูแลตับแล้ว จึงต้องดูแลระบบอื่นด้วย เพื่อให้ร่างกายทำงานสอดคล้องกัน และได้ผลสูงสุดจากการทานวิตามิน อาหารเสริม เพื่อให้สารอาหารเข้าฟื้นฟูทุกระบบของร่างกาย

ผลิตภัณฑ์ทานร่วมกับ กรีนแอล Green L 
ฟื้นทุกระบบที่เกี่ยวข้อง เมื่อเป็นโรคตับ ตามโรคและระยะต้น และ ระยะรุนแรง เพื่อให้ได้ผลดีสูงสุด
  • โกเรจินส์ดี KOREJINS-D
  • ดีมุนด์ D MUND
    • ดีกลูแคน D-GLUCAN

     

    VDO สัมภาษณ์ผู้ทานกรีนแอล

     

    ชุดดูแลตับให้เหมาะสมกับโรคตับตามระยะและอาการ

     

         สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ, ฟื้นฟูเซลล์ตับ บำรุง ดีท็อกซ์ Detox ลดอาการดีซ่าน ท้องมาน และ โรคตับเสื่อมระยะเริ่มต้น

     

         ชุดฟื้นตับ เข้มข้น 2 เท่า พร้อมฟื้นฟูซ่อมแซม ระบบอื่นๆ เช่น ระบบไต เลือด ต่อมต่างๆ ในร่างกายควบคู่ไปด้วย

         สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ, ฟื้นฟูเซลล์ตับ บำรุง ดีท็อกซ์ Detox ลดอาการดีซ่าน ท้องมาน และ โรคตับเสื่อมระยะเริ่มต้น 

     

    ชุดสำหรับตับแข็ง ตับอักเสบ และ ผู้ที่มีโรคแทรกซ้อน เบาหวาน ความดัน ร่วมด้วย

     

    สั่งซื้อสินค้า

    1765 B
    3350 B
    9530 B
    3429 B
    4930 B
    14000 B
    3450 B
    5030 B
    14290 B
    8300 B
    23800 B
    10000 B
    16130 B
    47340 B
    13300 B
    22150 B
    66245 B

    กรอกชื่อที่อยู่ในการจัดส่ง


    ข้อมูลบัญชีธนาคาร
    ชื่อบัญชี: ธนัชพรรณ ดีทั่ว
    ชื่อธนาคาร: ธนาคารกรุงไทย
    เลขบัญชี: 9823223386

    กรุณาแนบหลักฐานการโอนเงิน